ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ภูมิสับสน

๒๖ ก.พ. ๒๕๖o

ภูมิสับสน

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

หลวงพ่อ : เรื่อง ไม่ใช่คำถาม” กราบขอบพระคุณหลวงพ่อค่ะ ทุกสิ่งแล้วแต่กรรมหรือธรรมของผู้ปฏิบัติไม่เกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน ขอบพระคุณค่ะ คำถามเนาะ ไม่ใช่คำถาม เพียงแต่ว่าเขาเคยถามมา

ถาม : เรื่อง การภาวนากับวาสนา

กราบนมัสการหลวงพ่อที่เคารพ

ก่อนหน้านี้ผมเคยเขียนคำถามกับการแก้ปัญหาการภาวนากับหลวงพ่อหลายครั้ง แต่หลังๆ ไม่ได้เขียนมาถามเพิ่มเติมเพราะว่าหลังจากครั้งล่าสุดที่ผมถามหลวงพ่อ และหลวงพ่อก็เมตตาให้อุบายผมหลายครั้ง ซึ่งผมก็ยังคงตั้งใจภาวนาทุกวัน วันละหลายๆ ชั่วโมง ผลลัพธ์คือยังอยู่ในขั้นของปีติอยู่ครับ แรงบ้าง เบาบ้าง แต่ก็พยายามอย่างไม่ลดละ

วันนี้ที่ผมเขียนมาถามหลวงพ่อ หลังจากที่ไม่ได้เขียนมานานพอสมควร อาจจะไม่ใช่ขออุบายหลวงพ่อ แต่ว่าจะขอคำชี้แนะและกำลังใจเรื่องวาสนาครับ ผมเชื่ออย่างแรงกล้าว่า ถ้าเรานับถือศาสนาพุทธและตั้งใจภาวนาตามแบบครูบาอาจารย์ เพื่อมรรคผลนิพพานเป็นเป้าหมาย นั้นคือวาสนาเรามีแล้ว ที่เหลือก็อยู่ที่ความเพียรกับขันติเป็นหลัก ซึ่งผมต้องการยืนยันความเชื่อของผม ว่าผมเข้าใจไม่ผิด เหตุที่ผมกลับมาถามเรื่องนี้ เพราะว่าคนที่สำคัญกับชีวิตของผมไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ แต่เขามีความเชื่อของเขาอีกอย่างหนึ่งซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติแบบรู้ตัวทั่วพร้อม และพยายามสร้างบารมีก็จะไม่สำเร็จ

ผมก็ไม่ได้จะไปคัดค้านความคิดของเขานะครับ แต่ว่าเนื่องจากเขาเป็นคนสำคัญในชีวิต ผมก็เลยพูดกับเขาเรื่องการภาวนา เรื่องมรรคผลว่า ถ้าไม่ทำสมาธิมันจะไปเห็นกิเลสได้อย่างไร อย่างที่หลวงพ่อบอก และที่จากคำสอนของครูบา-อาจารย์ที่เขียนไว้ และก็บอกเขาว่าความคิดของผมคือได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้นับถือพระพุทธศาสนา ได้ลงใจกับการภาวนาอย่างจริงจัง แค่นี้วาสนายังไม่พอที่จะทำความเพียรหรือ ผมบอกกับเขาไปอย่างนั้น

ผมรู้ว่า ศรัทธาของผมมันยังไม่แน่นหนา ไม่อย่างนั้นผมคงไม่เขียนขอกำลังใจจากหลวงพ่อหรอกครับ รบกวนหลวงพ่อช่วยเมตตาด้วย

ตอบ : อันนี้พูดถึงวาสนาเนาะ วาสนา ถ้าเรามีความมั่นใจของเรา เห็นไหม วาสนา คำว่า วาสนาๆ” วาสนามันเป็นอดีต คำว่า วาสนาหรือไม่วาสนา” สิ่งนี้เราแก้อดีตของเราไม่ได้ แต่ในปัจจุบัน ในปัจจุบันนี้ ในปัจจุบันวาสนาสิ่งใดที่ว่ามันจะมีผลมากที่สุดมันคืออะไรล่ะ ทานก็อย่างหนึ่ง ศีลก็อย่างหนึ่ง ภาวนาก็อย่างหนึ่ง ทาน ศีล ภาวนา การภาวนาเพิ่มอำนาจวาสนาได้สูงสุด เพิ่มอำนาจวาสนาได้มากที่สุด ถ้าการเพิ่มอำนาจวาสนาได้มากที่สุด การภาวนา

ทีนี้เวลาการภาวนาไปแล้ว อย่างที่ว่า การภาวนาไปแล้วอย่างที่ว่าคนใกล้ชิดที่สุดในชีวิตเขามีความคิดของเขา ถ้ามีความคิดของเขา มันต้องศึกษา ศึกษาแนวทางการปฏิบัติของเขา ถ้าศึกษาในการปฏิบัติของเขา สิ่งที่เขาบอกว่าเขาปฏิบัติในแนวทางสติปัฏฐาน ๔ เขาว่าสิ่งนั้นเป็นทางที่ถูกต้อง ถ้าความถูกต้อง เวลาคุย คุยกัน ๒ คนไง เราคุยกัน ๒ คน แต่สิ่งที่จะคุยกัน ๒ คน คนของเราได้ข้อมูลอะไรมา ถ้าได้ข้อมูลสิ่งนั้นมันเป็นสิ่งที่ตกผลึกในสมองของเขา ตกผลึกในความเชื่อของเขา ถ้าในความเชื่อของเขา เขามีความเชื่ออย่างนั้นไง

แต่ของเราก็มีความเชื่อของเราอย่างนี้ไง ของเรามีความเชื่อว่าเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เรามีอำนาจวาสนาแล้ว ถ้ามีอำนาจวาสนาของเรา เราก็จะปฏิบัติตามความเป็นจริงของเรา ถ้าปฏิบัติตามความเป็นจริงของเรา เห็นไหม เราทำสมาธิของเราก่อน ถ้าเราทำสมาธิของเรา เห็นไหม เพื่ออะไร เพื่อมันจะเป็นข้อเท็จจริง เพราะจิตที่มันจะสงบแล้ว ถ้ามันเห็นมันเห็นตามความเป็นจริงอย่างที่เราเข้าใจ

แต่เขาไม่เข้าใจ เขาไม่เข้าใจ แล้วโดยพื้นฐานเขาก็คิดดูถูกดูแคลนด้วยนะ ดูถูกดูแคลนว่าพวกทำสมาธิได้เป็นสมถะ สมถะมันไม่มีปัญญาๆ แต่ของเขา เขาว่าเขารู้ตัวทั่วพร้อมของเขา เขามีปัญญาของเขา นี่พูดถึงว่าแนวคิดไง พื้นฐานของเขาๆ ต่างคนต่างก็มองแล้วแบบดูแคลนกัน แต่เขาเป็นคนใกล้ชิดที่สุด เขาเป็นคนใกล้ชิดที่สุดเขาก็เลยพยายามจะชักนำเขา ถ้าเราชักนำเขา ถ้าเขาเชื่อฟังก็เรื่องหนึ่ง ถ้าเขาไม่เชื่อฟังก็ปล่อยให้เขาปฏิบัติของเขาไป

เพราะถ้าปล่อยให้เขาปฏิบัติตามแนวทางของเขา ถ้าเราบางทีเราเกิดความเห็นใจ เราเกิดเมตตาเราบอกว่า อ้าวอย่างนั้นเราก็เสียสละของเรา เราปฏิบัติกับเขา ก็ลองดู ลองดูทั้งนั้น เพราะเรื่องวาสนาเป็นเรื่องของวาสนา คนที่มีอำนาจวาสนามาในทางที่ถูกแล้ว แต่ด้วยสภาวะแวดล้อมด้วยสิ่งต่างๆ มันก็หันเหออกไปเพื่อสังคม เพื่อเอาใจเขา ถ้าเอาใจเขานั่นก็เป็นเรื่องหนึ่ง

แต่ถ้าเป็นความจริงของเรา วาสนาก็คือวาสนา วาสนา เห็นไหม ดูสิ เราเปรียบเทียบประจำ เปรียบเทียบว่าเวลาองค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ เห็นไหม ไปเรียนกับอาฬารดาบส อุทกดาบส ได้สมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘ เขาชื่นชม เขายกย่อง เขาให้เป็นศาสดา ถ้าชื่นชมยกย่องเป็นศาสดาก็ต้องถือแนวทางนั้น แนวทางนั้นคืออะไร อภิญญา ๖ กับอภิญญา ๘ อภิญญาก็คือทำสมาธิอย่างหนึ่งจนได้อภิญญา ถ้าเชื่อเขาก็ได้แค่นั้น ก็สอนแค่นั้น ก็ความรู้มีแค่นี้

แต่เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เชื่อ ไม่เชื่อว่ามันแก้กิเลสได้ ท่านถึงได้ละความเห็นอย่างนั้น ละการกระทำอย่างนั้น แล้วเวลาท่านมาปฏิบัติของท่าน เห็นไหม ท่านปฏิบัติของท่าน ท่านกำหนดอานาปานสติ เห็นไหม ทำสมาธิ สมาธิกับสมาบัติ ๘ เพราะได้สมาบัติ ๘ มาแล้ว อาฬารดาบส อุทก-ดาบสเป็นคนยกย่องสรรเสริญเลย แต่เจ้าชายสิทธัตถะท่านไม่เชื่อ แล้วท่านไม่สนใจ แต่เวลาท่านจะมาทำ ท่านกำหนดลมหายใจเข้าและลมหายใจออก ลมหายใจเข้าและลมหายใจออกแล้วท่านรื้อค้นด้วยอำนาจวาสนาของท่าน

ถ้าเราเชื่อเขา ถ้าเชื่อเขาด้วยคนใกล้ชิด เราก็ปฏิบัติเพื่อเอาใจกัน ปฏิบัติเพื่อเอาใจกันไง มันไม่ได้ปฏิบัติเพื่อความจริงไง ถ้าปฏิบัติเพื่อความจริง เราก็ค้นคว้าของเรา อำนาจวาสนาเรามีของเราแล้ว เราทำของเรา ถ้าทำของเรามันก็จะเป็นความจริงของเรา นี่พูดถึงว่ายืนยัน คำว่า ยืนยัน” มันยืนยันอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเขาบอกว่าตอนนี้เขาอยู่ในขั้นของปีติ เวลาปีติมันมีเบาบ้าง แรงบ้าง ขั้นปีติแล้วฝึกหัดใช้ปัญญาของเรา ถ้าฝึกหัดใช้ปัญญาของเรา ฝึกหัดใช้ปัญญา เวลามันสงบระงับมันมีความสุขของมัน ก็ฝึกหัดใช้ปัญญาไปเรื่อย มันจะกว้างขวางไปเรื่อย แล้วการทำสมาธิมันก็ทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ

ถ้าทำสมาธิดีขึ้นเรื่อยๆ พอทำสมาธิแล้วถ้าเราใช้ปัญญาๆ ปัญญามันจะทำให้หูตาสว่าง พอหูตาสว่างแล้วมันจะค้นคว้า ถ้าค้นคว้าไปเห็นสติปัฏฐาน ๔ ถ้าเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต ตามความเป็นจริง โดยจิตที่มันสงบแล้วที่ว่าเขาไม่ทำสมาธิ เขาจะเห็นกิเลสได้อย่างไร ถ้าเห็นอย่างนั้นนะ โยมจะอธิบายให้คนใกล้ชิดฟังได้คล่องแคล่วเลย อธิบายเขา ค่อยๆ อธิบายกัน ฉะนั้น มันเป็นที่จริตนิสัยด้วย มันสายบุญสายกรรมด้วย ถ้าสายบุญสายกรรม ความเชื่อ ความเชื่อที่มันอยู่ลึกๆ ในใจ เราจะไปโน้มน้าวเขาอย่างไร

แต่ถ้ามันโน้มน้าว เราจะบอกว่า เราต้องทำ เราปฏิบัติให้ได้ผลไง แล้วเอาผลนั้นมาอวดกัน นั่นน่ะเขาถึงจะเชื่อ ทีนี้เขาจะเชื่อ เพียงแต่เชื่อมันก็แบบว่าถ้าเขามีสายบุญสายกรรมที่เขาเชื่อแบบนั้น แล้วเขาจะมาทำแบบเรา เขาก็ทำไม่ได้เหมือนกัน พอเขาทำไม่ได้ขึ้นมา เห็นไหม เราบอกว่าได้ เราทำได้ เราบอกว่าได้ แล้วคนอื่นที่เขาจะมาทำแบบเราๆ เขาทำเหมือนเรา แต่มันไม่ได้ พอมันไม่ได้ก็คือไม่ได้ ถ้าไม่ได้ก็บอกว่า อ้าวก็ทำตามหมดแล้ว ทำไมมันไม่ได้ล่ะ” เวลาคนที่ปฏิบัติที่มาเรียกร้องอยู่นี่ว่า ปฏิบัติแล้วทำไมไม่ได้ ปฏิบัติแล้วทำไม่ได้

ปฏิบัติ ปฏิบัติให้มันตรงกับกิเลสของตนไง ให้มันตรงกับจริตนิสัยของตนไง เหมือนกับคนรักษาโรค เราเป็นโรคอะไร เวลาหมอรักษาก็รักษาอาการอย่างนั้น เราเป็นโรคโรคหนึ่ง เวลาไปรักษากับหมอ หมอรักษาอีกอย่างหนึ่ง มันจะหายได้อย่างไร มันต้องหายตามที่ว่าเราเป็นโรคสิ่งใด หมอต้องรักษาอาการโรคตามที่เราเป็น โอกาสที่เราจะหายมันมี ปฏิบัตินี่ก็เหมือนกัน ปฏิบัติถ้ามันตรงจริตนิสัยนะ โอกาสที่มันจะเป็นได้มันมี

ฉะนั้น สิ่งที่ว่า เขาเป็นคนที่ใกล้ชิดที่สุด เราพยายามจะโน้มน้าวเขา เราจะอธิบายให้เขาฟัง” ปล่อยให้เขาปฏิบัติไป ปล่อยให้เขาปฏิบัติ ดีกว่าเขาไม่ปฏิบัติ ถ้าเขาปฏิบัติไป พอปฏิบัติไปแล้วถ้ามันไปถูกไปผิด มันไปถูกไปผิดหมายความว่าปฏิบัติไปแล้วมันมีมรรคมีผลขึ้นมาหรือไม่ ถ้าไม่มีขึ้นมามันก็เริ่มสงสัยแล้วแหละ เราทำของเรามา แต่ไอ้คำว่า รู้ตัวทั่วพร้อม” ส่วนใหญ่แล้วเขาไม่ค่อยรู้ตัวหรอก ไม่ค่อยรู้ตัวเพราะอะไร ไม่ค่อยรู้ตัวเพราะเขาทำกันตามเป็นประเพณี ประเพณีรู้ตัวอยู่อย่างนั้นๆ แต่เขาไม่ได้ละเอียดเข้าไป เขาถึงไม่เห็นว่าถูกว่าผิดไง ไม่เห็นว่าถูกว่าผิดเพราะมันไม่มีอะไรมาเปรียบเทียบว่าถูกหรือผิด

แต่ถ้าเราปฏิบัติของเราตามความจริง เราปฏิบัติไปได้หรือไม่ได้มันรู้ ถ้าไม่ได้ ไม่ได้เพราะเหตุใด ถ้าได้ ได้ก็อย่างที่ผู้ถาม เห็นไหม ผลลัพธ์ที่เขาทำอยู่นี้มันเป็นขั้นของปีติมีแรงบ้างมีเบาบ้าง สิ่งที่เราทำของเราอยู่นี่มันมีผล เวลาทำสมาธิถ้าทำไม่ได้ โอ้โฮมันฟุ้งซ่านมาก มันตึงเครียดมาก มันก็เป็นผล ผลในทางลบไง ผลของการทำแล้วมันไม่ได้ผลไง แต่ถ้ามันได้ผลมันก็ได้ผลอย่างนี้ไง

เวลาทำแล้วมันต้องได้ผลสิ เราทำแล้วมันต้องมีผลลัพธ์ ถ้าไม่มีผลลัพธ์เราทำไปแล้วทำก็สร้างอำนาจวาสนา เวลาปฏิบัติเราบอกว่า ให้ปฏิบัติบูชามันได้บุญมาก” บุญมากคือตรงไหน บุญมากเรายกร่างกายนี้ไง ยกร่างกายนี้ๆ ถวายองค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้า บุญกิริยาวัตถุ คำว่า บุญกิริยาวัตถุ” การกระทำของเราเคลื่อนไหว กิริยาของเรา เราจะนั่ง จะนอน จะอะไรก็ได้ เราเสียสละ เสียสละการนอนตีแปลง เสียสละการสนุกสนานมานั่งสมาธิ เราอุทิศให้นะ

เหมือนเขาทำบุญๆ เราตักบาตร เราตักบาตร เห็นไหม เรามีอาหารใส่บาตรพระไป ไอ้นี่เราเอาตัวเรานะ เอาตัวเราบูชาพระพุทธเจ้า บุญกิริยาวัตถุ เราเสียสละความสะดวกสบายของเรา เราเสียสละความอยู่สบายแล้วมานั่งสมาธิ เพื่อถวายองค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บุญไหม นี่ไง วาสนาบารมีมันเกิด เกิดตรงนี้ไง เกิดตรงว่าทาน ศีล ภาวนา ภาวนาบูชาองค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่การเพิ่มอำนาจวาสนา

ทีนี้พอเพิ่มอำนาจวาสนา พอปฏิบัติไปแล้วมันมีมิจฉากับสัมมา ถ้าสัมมาก็ความถูกต้องดีงาม ถ้ามิจฉาปฏิบัติบูชาด้วยความมิจฉา ความเห็นผิด ด้วยจิตใจที่มันเป็นมิจฉาทิฏฐิๆ เริ่มต้นจากมิจฉาทิฏฐิมันก็ได้มิจฉาไปหมดเลย มิจฉาสมาธิ มิจฉาปัญญา มิจฉาไปทั้งนั้น เพราะมันเริ่มต้นจากตรงนั้นไง แต่ถ้ามันเริ่มต้นถูกต้องสัมมาทิฏฐิความเห็นถูกต้องดีงาม ปฏิบัติขึ้นไปมันก็จะเป็นความจริงของเราขึ้นมา ฉะนั้น ให้ปฏิบัติ ถ้ามันมีผลลัพธ์มันจะตรวจสอบกันได้ มันทำแล้วมันได้

แต่สิ่งที่ว่าเขาเคลื่อนไหวอย่างนั้นมันไม่มีอะไรไง มันไม่มีอะไรตรวจสอบ ถ้าเผื่อมันสบายๆ ก็สบายสิ คิด เวลาคิดมันคิดไปร้อยแปดพันเก้า บังคับมันไม่ให้คิด บังคับให้มันอยู่กับความรู้สึก อยู่กับความรู้สึกอย่างนั้นแล้วมันเป็นสมาธิไหม มันไม่เป็นสมาธิเพราะอะไร เพราะข้อมูลในสมอง ข้อมูลจิตใต้สำนึกบอกว่า มันเป็นผลเสีย มันเป็นสมถะ มันไม่ใช้ปัญญา ก็เลยไม่ยอมรับอันนั้น” ก็เหมือนเรานี่ เหมือนเรา ถ้าเราจะเข้าครัว เราต้องมีวัตถุ ต้องมีมีด มีเขียง เพื่อเราจะใช้หั่นผัก หั่นเนื้อ แล้วมันบอกไม่ต้องมีอะไรเลย มันพร้อมอยู่แล้วๆ มันพร้อมมาจากไหนล่ะ มันไม่มีให้พร้อมหรอก

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่ทำสมาธิ ไม่ทำของเราขึ้นมา มันจะเอาอะไรไปทำล่ะ ต้องมีสติมีปัญญา ไอ้นี่มันไม่มีอะไรเลย ว่าง สบายๆ ไอ้คำว่า สบายๆ” ใครๆ ก็พูด ทุกคนก็พูดบอกว่าการประพฤติปฏิบัติธรรมต้องมีความสุข ต้องมีความสบาย มันถึงจะถูกต้อง ไอ้พวกเราปฏิบัติแล้วเคร่งเครียด โอ๋ยเขาพูดกันบ่อย ไอ้พวกที่ปฏิบัติเคร่งเครียดมันเป็นมิจฉาทิฏฐิหรือเปล่า เป็นอัตตกิลมถานุโยคหรือไม่ ไอ้เขาปฏิบัติ โอ้โฮมีความสุข ไอ้นี่อุปาทานหมู่ มันเป็นอุปาทานหมู่ แล้วมันเป็นอย่างไร

นี่พูดถึงนะ เราจะไม่ค่อยอยากลงรายละเอียด เพราะว่าตอนนี้เรื่องศาสนาเขาไม่ให้กระทบกระทั่งกันไง ศาสนาควรมีความเห็นตรงกัน แต่ความจริงแล้วสิ่งที่มันจะเห็นตรงได้ มันเกี่ยวกับจริต จริตนะ เวลาหลวงปู่มั่น เราศึกษาเรื่องหลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ เราศึกษา เราชอบค้นคว้า หลวงปู่มั่นสอนแต่ละองค์ไม่เหมือนกันเลย สอนหลวงปู่อ่อนก็อย่างหนึ่ง ให้คำบริกรรมยาวๆ สอนหลวงตาก็อีกอย่างหนึ่ง ก็หลวงปู่ดูลย์เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น หลวงปู่ดูลย์เป็นคนไปเทศนาว่าการได้หลวงปู่ฝั้นมา หลวงปู่ฝั้นบวชเป็นมหานิกาย แล้วหลวงปู่ฝั้นจากหลวงปู่ดูลย์มาเทศน์ให้ฟัง แล้วก็มาศึกษากับหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านสอนตามวาสนาของเขา

แล้วครูบาอาจารย์ของเราแต่ละองค์มีบารมีทั้งนั้น เพราะมีบารมีมา เกิดร่วมยุคร่วมสมัยแล้วสร้างอำนาจวาสนามา เวลามีมุมมอง มีทัศนคติสิ่งใดที่เชื่อมั่น ที่หลวงตาเล่าให้ฟัง เล่าให้ฟังว่า หลวงปู่เกิ่ง หลวงปู่เกิ่งท่านเป็นเจ้าอาวาส ท่านเป็นอุปัชฌาย์ คำว่า เป็นเจ้าอาวาส เป็นอุปัชฌาย์” มีลูกศิษย์ทั้งวัดเลย ทำไมเวลาหลวงปู่มั่นไปเทศน์ให้ฟัง มีความเห็นว่าญัตติใหม่หมดเลย ญัตติจากมหานิกายเป็นธรรมยุตทั้งหมดเลย แล้วท่านไม่ใช่พระเด็กๆ ท่านเป็นถึงอุปัชฌาย์นะ เป็นเจ้าอาวาสนะ ญัตติทั้งวัดเลย

เราจะบอกว่าวาสนาๆ คนที่มีวาสนา คนที่มีอำนาจวาสนาบารมี พอมันมีธรรมะมาปลุกเร้าใจ พอปลุกเร้าใจ ใจมันเบิกบาน ใจมันต้องการ อะไรจะเกิดขึ้นก็ไม่สำคัญ ไม่กลัวใดๆ ทั้งสิ้น มันจะเข้าไปเผชิญกับความจริงทั้งนั้น พอจะเข้าไปเผชิญกับความจริง เวลาปฏิบัติขึ้นมาก็เลยบอกว่า พวกที่ปฏิบัติแบบเรามันเป็นอัตตกิลมถานุโยคไม่สบายๆ

สบายๆ” เดี๋ยวนี้นะ เราจะบอกเลยนะ ถ้าคนไม่มีสติปัญญานะ ไอ้พวกโค้ช โค้ชทางวิชาการ ไอ้พวกโค้ชไอ้พวกทางวิทยาศาสตร์เขากำลังอบรมทางจิตนะ แล้วถ้าใครไปพัฒนาอย่างนั้นปั๊บก็คิดว่านั่นนิพพานกันหมดนะ เพราะเขาทำให้คิดได้ทางวิทยาศาสตร์ ตอนนี้เขาเปิดสอนเป็นหลักสูตรกันทั้งนั้นเลย โลกๆ ทั้งนั้น เรามองแล้ว แต่เราเห็นนะ เราก็ติดตามดูข่าวสาร เราบอกอันนี้นะ ถ้าคนไม่มีหลักเกณฑ์จะบอกเลยดีกว่าพระอีก พระสอนทุกข์ฉิบหายเลย กูไปหาพวกนี้เสียตังค์ เข้าจบคอร์สเลย โอ้โฮกูว่างๆ สบายๆ หมดเลย มันไปนู่นกันหมดแล้ว

นี่พูดถึงว่า ถ้าเรามีสติปัญญานะ เวลาพูด เราพูดให้เป็นหลักเกณฑ์นะ ไม่ได้พูดประชดประชัน ไม่ได้พูดถึงให้เราไปดูถูกเหยียดหยามกัน ไม่ใช่เพราะเขาเป็นความชอบของเขาๆ เป็นความเห็นของเขา แต่ของเรา เราต้องมีหลักการ ถ้าคนมีอำนาจวาสนาอย่างที่เราพูด หลวงปู่เกิ่ง หลวงตาท่านพูดบ่อยมาก เพราะหลวงตาเวลาธุดงค์ไปก็ไปซักผ้าวัดท่าน นั่นแหละที่สามผงๆ เวลาครูบาอาจารย์ของเราในวงกรรมฐานท่านจะรู้ว่า ใครมีอำนาจวาสนา ใครมีหลักเกณฑ์ที่ดี เขาเคารพกันนะ วาสนามันเป็นอย่างนั้น

ทีนี้ของเรานี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีวาสนา เราก็จะเข้าสู่ เห็นไหม ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้กาลามสูตร อย่าเชื่อ อย่าเชื่อใดๆ ทั้งสิ้น ให้เชื่อผลของการปฏิบัติ เวลามีศรัทธาความเชื่อ ศรัทธาก็ค้นคว้าไง แต่เวลาปฏิบัติไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้นเลย เพราะว่าใครก็ทำให้เราไม่ได้ทั้งสิ้น มันมีอยู่ทางเดียวเท่านั้น เราปฏิบัติได้จริงมี ๒ อย่าง ปฏิบัติได้จริงกับปฏิบัติแล้วไม่ได้ ก็ต้องพิสูจน์กันด้วยการปฏิบัติ กาลามสูตรไม่ให้เชื่อ นี่เหมือนกัน โยมก็ไม่ต้องเชื่อเราพูด ไม่ต้องเชื่อเลย เอาความจริงของเราขึ้นมานั่นน่ะ แล้วคนใกล้ตัวก็เรื่องของเขา

เขาบอกว่า เขาก็เชื่อหลวงพ่อนะ แต่คนใกล้ตัวเป็นคนสำคัญของชีวิตนะ แล้วมีความเห็นแตกต่างกัน” มันก็มีว่าเราจะยืนหลักการของเรา หรือเราจะคล้อยตามเขา เพราะเขาบอกว่าส่วนใหญ่แล้วพวกที่รู้ตัวทั่วพร้อม เขาจะบอกว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเป็นวิปัสสนา ไอ้ที่พุทโธหรือใช้ความสงบของใจส่วนใหญ่แล้วเป็นสมถะ แล้วเวลาสมถะ มันเป็นสมถะมันไม่ใช่ปัญญา ๑เป็นสมถะแล้วเดี๋ยวจะไปเห็นนิมิต ๑

ฉะนั้น เวลาทำสมถะทำความสงบของใจมันอยู่ที่จริตไง จริตของคนถ้ามันจิตคึกคะนอง จิตที่สร้างอำนาจวาสนามา มันก็จะไปรู้ไปเห็นอะไรแปลกๆ ถ้ารู้เห็นครูบาอาจารย์ก็ต้องควบคุม แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่ค่อยเห็นหรอก แล้วอีกอย่างหนึ่งก็แบบว่าคนที่จิตวุฒิภาวะต่ำต้อย พอต่ำต้อยมันเป็นอุปาทาน ไอ้อุปาทาน ไอ้กรณีอย่างนี้ มันต้องเป็นกรณีของการแก้ไข ถ้าจิตเป็นอย่างนี้จะไปปฏิบัติแนวทางไหนก็เป็นแบบนี้

แล้วไอ้ที่รู้ตัวทั่วพร้อม เขาบอกว่าไอ้ที่ทำนี้เป็นสมถะ เขารู้ตัวทั่วพร้อม เรานั่งอยู่นี่ ผู้ที่ปฏิบัติอภิธรรมมาให้เราแก้เรื่องนิมิตเยอะแยะเลย เขาบอกว่า เขาทำแล้วไปรู้ไปเห็นอย่างนั้นแล้วทำอย่างไร เขาบอกว่าเขารู้ตัวทั่วพร้อม” รู้ตัวทั่วพร้อมมันก็เห็น ไอ้จะเห็นนิมิตจะเห็นต่างๆ ถ้าจิตมันทำมาอย่างนั้น มันก็ต้องเห็นอย่างนั้น ถ้าเห็นอย่างนั้นแล้วครูบาอาจารย์ก็ต้องแก้ไขไป มันเป็นที่จริตนิสัย มันเป็นที่เวรกรรมของจิต มันไม่ใช่เป็นเรื่องเพราะวิธีการทำ ไม่ใช่!

แต่เขาไปชี้เลยว่า เป็น เพราะทำสมถะถึงเป็นอย่างนั้น แล้วถ้าไปรู้ตัวทั่วพร้อมแล้วไม่เป็น เป็นวิปัสสนา ใช้ปัญญารู้ตัวทั่วพร้อมจะไม่มีนิมิต เพราะใช้ปัญญา” ไอ้รู้ตัวทั่วพร้อมมาให้เราแก้นิมิตเยอะแยะ เยอะแยะไป จิตมันเป็นอย่างนั้น แต่ทีนี้โดยที่ว่ามันเหมือนกับว่าโดยแนวคิดหรือความเชื่อ เขาเชื่อกันมาอย่างนั้น ฉะนั้น เราก็ต้องค่อยๆ ถ้าเขาแก้ไขได้ก็แก้ไข เขาเชื่ออย่างนั้น เราก็ต้องคอยดูคอยแลกันไปนะ จะบอกว่าทิ้ง ทิ้งไม่ได้

ฉะนั้น เขาบอกว่า ผมต้องการรบกวนหลวงพ่อเมตตาให้ยืนยันไง ยืนยันว่าความคิดของเขาถูกต้องหรือไม่” เพราะคำว่า ถูกต้อง” ที่เชื่อว่าเกิดเป็นมนุษย์ได้นับถือพระพุทธศาสนา เป็น ผู้ที่มีอำนาจวาสนาแล้ว ใช่เรายืนยัน ยืนยันนะ เวลาเราคิดว่าเราปฏิบัติแล้วเราทุกข์เรายาก เรามองดูสังคมโลกสิ ในโลกนี้ ๗,๐๐๐ กว่าล้าน นับถือศาสนาคริสต์อันดับ ๑ อันดับ ๒ นับถือศาสนาอิสลาม พุทธเรามันเป็นอันดับ ๓ อันดับ ๔ แล้วเอาเข้ามาเฉพาะพุทธเราแล้ว พุทธเราที่ตั้งใจภาวนา ตั้งใจเอาจริงมันมีกี่เปอร์เซ็นต์ เป็นวาสนาไหม

ทะเบียนบ้านชาวพุทธ ทะเบียนบ้านนับถือพระพุทธ-ศาสนาทั้งนั้น แล้วมันทำอะไรกันบ้าง นี่ไง ไม่มีวาสนาไง เกิดมาพบพระพุทธศาสนาแต่ไม่สนใจ ไม่ประพฤติปฏิบัติ เขามีอำนาจวาสนาไหม แล้วเรามี ถ้าเทียบเคียงอย่างนี้ปั๊บมันเป็นสถิติเลย มันเห็นเลย มันจะเข้าใจได้เลย ถ้าไม่อย่างนั้นมันมาคิดถึงคนคนเดียว หรือไม่ก็คิดถึงคนข้างเคียง ๒ คน แล้วก็ใครมีวาสนาและไม่มีวาสนา ถ้าเทียบอย่างนี้จะเห็นเลยว่าใครมีวาสนา ไม่มีวาสนา

ถ้ามีวาสนาขึ้นมานี่คือวาสนาแท้ ยืนยัน ยืนยันแน่นอน ทีนี้เพียงแต่ว่าเวลาปฏิบัติ เวลาปฏิบัติแล้วนะ ถ้าเกิดมรรคเกิดผล อริยทรัพย์ ทรัพย์มีมหาศาล ทรัพย์ที่ไม่ให้เราต้องไปทุกข์ไปยากอีกในการเกิดการตาย ผลมันมหาศาล การกระทำมันถึงต้องทุ่มเทกันไง แล้วถ้าได้จริงมันได้จริงขนาดนั้นนะ

ถ้าไม่ได้จริงนะ ผลของวัฏฏะๆ นี้น่าเศร้ามากนะ การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะผลัดกันเป็นพ่อเป็นแม่ ผลัดกันนะ ผลัดกันไป ต้องใช้เวรใช้กรรมกันไปตลอด แล้วเมื่อไหร่มันจะจบสิ้น มันไม่จบไม่สิ้นหรอก แล้วถ้ามันยิ่งบาดหมาง ยิ่งไปเกิดกันใหม่ ยิ่งไปกระทบกระทั่ง ยิ่งเจ็บช้ำน้ำใจ เจ็บปวดนะ เรื่องภายในครอบครัวเจ็บช้ำมาก แต่มันก็ต้องเจอแบบนั้น เพราะมันมีเวรมีกรรม แล้วเวลามาทำอริยทรัพย์มันไม่ไปอีกแล้ว อู้ฮูคุณค่ามหาศาลเลย ถ้าคุณค่ามหาศาล สิ่งนี้มันถึงต้องลงทุนลงแรง ฉะนั้น ยืนยัน ยืนยันอย่างที่ถามนั่นน่ะ ใช่จบ

ถาม : เรื่อง อริยภูมิเพิ่มเติม

ตอบ : อริยภูมิครั้งที่แล้วเขาบอกว่า เขาปฏิบัติมาแล้วจนถึงเป็นอริยภูมิแล้วสึกไป มันเป็นไปได้ไหม” เราบอกว่าเป็นไปไม่ได้หรอก แต่เราไม่พูดลงรายละเอียด เพราะมันไม่มีรายละเอียดไง ฉะนั้น คราวนี้ถึงบอกว่า อริยภูมิเพิ่มเติม

ถาม : กราบเรียนหลวงพ่อที่เคารพ

ลูกมีคำถามคาใจจะถามหลวงพ่อ ดังนี้ครับ จากลูกได้ฟังคำถาม เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เรื่อง อริยภูมิ” คำถามที่ ๒๐๒๒ ที่ถามว่า ภาวนาเป็นพระอริยสงฆ์จะสึกมาทำอะไรอีก” โดยลูกขอโอกาสถามเพิ่มเติมหลวงพ่อดังนี้

คำถามที่ ๑ถ้าฆราวาสผ่านประสบการณ์ทางโลกมามาก เข้ามาบวชตอนวัยกลางคน (อายุ ๔๐รู้ธรรมเห็นธรรมได้เร็ว (สำเร็จเป็นพระอรหันต์ภายใน ๗ เดือน แล้วอยู่ครองเพศสมณะได้ ๗ พรรษา เห็นความเหลวแหลกของวงการสงฆ์ส่วนมาก เลยเกิดความเบื่อหน่ายไม่อยากครองผ้ากาสาวพัสตร์ สึกไปดูแลลูก ใช้ชีวิตเรียบง่ายสมถะ และช่วยเหลือคนด้อยโอกาส เป็นไปได้ไหมครับ (บ้านมีฐานะคำถามเหมือนข้อที่ ๑ครับ ถ้าสำเร็จเป็นพระปัจเจกล่ะครับ

ขอความเมตตาหลวงพ่อช่วยตอบคำถามนี้ด้วยครับ กราบขอบพระคุณ

ตอบ : อันนี้พูดถึงอริยภูมิ แต่ถ้าภาษาเรานะภูมิสับสน มันไม่มีภูมิหรอก ไอ้นี่สับสนในชีวิต พอสับสนในชีวิตขึ้นมา เมื่อกี้เราพูดถึงว่าคนที่มีอำนาจวาสนาได้นับถือพระพุทธศาสนาจะได้บวช ได้ประพฤติปฏิบัติ คนที่มีอำนาจวาสนานั่นอำนาจวาสนาของเขา แต่อันนี้สับสน มีวาสนาแล้วมันก็ควรทำให้มันเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา มีวาสนาขึ้นมา เห็นไหม

บอกว่า เขาเป็นฆราวาส มีประสบการณ์ผ่านทางโลกมามาก เข้ามาบวชตอนวัยกลางคนอายุ ๔๐ แล้วได้เห็นธรรมโดยเร็ว ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ภายใน ๗ เดือน อยู่ครองเพศสมณะได้ ๗ พรรษา เห็นความเหลวแหลกของวงการสงฆ์ส่วนมาก เลยเกิดความเบื่อหน่ายไม่อยากครองผ้ากาสาวพัสตร์แล้วสึกไป” มันเป็นไปไม่ได้มันเป็นไปไม่ได้หรอก!

ถ้าความเบื่อหน่ายมันก็เบื่อหน่ายในภพในชาติ มันไปเบื่อหน่ายในวงการสงฆ์ วงการสงฆ์ที่ไหน ถ้ามันเบื่อวงการสงฆ์นะ พูดถึงผู้ที่ประพฤติปฏิบัติใช่ไหม ถ้าผู้ที่ประพฤติปฏิบัติถ้ามีคุณธรรม พอได้เป็นพระโสดาบัน ถ้าผู้ที่ปฏิบัติได้เป็นพระ-โสดาบันนะ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส สักกายทิฏฐิ ทิฏฐิที่ความเห็นผิด ผิดในเรื่องความยึดมั่นถือมั่น ไม่มีวิจิกิจฉา ไม่ลูบไม่คลำ ถ้าไม่ลูบไม่คลำนะ จิตใจมันมีหลักมีเกณฑ์ นั้นมันเรื่องของเขา

ในวงการสงฆ์ๆ ในสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาก่อน ไปเทศน์ปัญจวัคคีย์ได้พระอรหันต์มาอีก ๕ องค์ ไปเทศน์ยสะได้พระอรหันต์มาอีก ๕๕ องค์ เป็น ๖๑ รวมทั้งองค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ล้วนๆ เลย ถ้าพระอรหันต์ล้วนๆ พระอรหันต์ก็ไม่มีสิ่งใดเศร้าหมองใช่ไหม พระอรหันต์ที่สะอาดบริสุทธิ์ใช่ไหม

แต่พอศาสนามันเจริญงอกงามขึ้นไปนะ งอกงามขึ้นไป ผู้ที่เข้ามาบวช ผู้ที่ปลอมบวชก็มี ผู้ที่มีลัทธิต่างๆ เห็นลาภสักการะในพระพุทธศาสนาเข้ามาบวชเยอะแยะไปหมดล่ะ องค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบัญญัติวินัยๆ วินัย เห็นไหม แม้แต่เรื่องของของสงฆ์ ของส่วนตัวร้อยแปด มันมีมามหาศาล แล้วมีทิฏฐิมีความเห็นผิดว่าพระอรหันต์เป็นอย่างนั้น พระอรหันต์เป็นอย่างนี้ อยู่ในปาฏิโมกข์ก็มี

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เป็นเจ้าของศาสนาเลย มันยังมีความเหลวแหลกขนาดนั้น ความเหลวแหลกคือมันเป็นทิฏฐิมานะความเห็นผิดของคนไง ถ้าความเห็นผิดของคนแล้วเข้ามาบวช ดู บวชมา เทวทัตอย่างนี้ เทวทัตบวชมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบวชให้ด้วย เป็นญาติกันทางสายเลือดด้วย แล้วมาบวชเป็นลูกศิษย์กับอาจารย์ด้วย แต่ถึงเวลาแล้วเทวทัตจองล้างจองผลาญองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขนาดนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า เทวทัตไม่ได้พบเราหรอก” ท่านไม่ได้ผูกเจ็บผูกอาฆาตเลย

เราจะบอกว่า แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็อยู่ในท่ามกลางสงฆ์ที่แปดเปื้อน ท่ามกลางสงฆ์ที่สะอาดบริสุทธิ์ก็มี สงฆ์ที่แปดเปื้อนก็มี ในสังคมมันมีคนดีและคนเลว นี่ก็เหมือนกัน ถ้าพูดถึงถ้าเขาบวชแล้วถ้าเขามีคุณธรรม ไอ้เรื่องอย่างนี้จิ๊บๆ ไร้สาระ ขออย่างเดียว ขอให้เราจริงเถอะ ถ้าขอให้เราจริงมันก็รักษาตัวเราใช่ไหม

ถ้ารักษาตัวเรา ดูสิ เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านทำของท่าน ท่านบอกว่าท่านสร้างธรรมทายาทๆ เวลาท่านพูดกับหลวงตา ผมทำคุณงามความดีมามาก ใครระลึกถึงผลงานของผมบ้างหรือไม่” หลวงตาท่านยกมือเลย ผมคิดถึงตลอดเวลา อยากจะจารึกไว้ในศาสนา แต่ภาวนายังไม่ถึงที่สุด” คือว่า ท่านยังไม่จบในเรื่องการประพฤติปฏิบัติ ท่านก็ห่วงการประพฤติปฏิบัติของท่าน

หลวงปู่มั่นบอก ใช่ๆๆ เอาตัวเองให้รอดก่อน” พอตัวเองรอดแล้ว พอหลวงปู่มั่นท่านนิพพานไป พระมหาบัวท่านถึงได้มาเขียนประวัติหลวงปู่มั่นไง พอเขียนประวัติหลวงปู่มั่นขึ้นมา สังคมถึงได้เห็นร่องรอยในแนวทางการปฏิบัติของครูบา-อาจารย์ของเรา สิ่งที่ว่าท่านทำประโยชน์ไว้ในศาสนาๆ เพื่ออะไร เพื่อศาสนาที่ทุกคนเห็นว่ามันเหลวแหลก ทุกคนที่เห็นว่ามันน่าเศร้าใจ แต่ถ้ามันมีคนทำได้จริงๆ คนทำได้จริงแล้วมันเป็นความจริงว่าศาสนามันมีมรรคมีผล

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเขามีคุณธรรม ไอ้เรื่องนั้นมันเรื่องของเปรต ที่ไหนมันก็มี ถ้าที่ไหนมันก็มี ถ้าเขาเป็นจริงขึ้นมาเขาควรยืนในคุณธรรมของเขา แล้วให้ทุกฝ่ายเห็นคุณธรรมอันนั้น ทีนี้ไม่ใช่อย่างนั้นน่ะสิ ทีนี้ไม่ใช่อย่างนั้น เบื่อหน่าย เบื่อหน่ายเป็นกิเลสนะ ไหนว่าสำเร็จไง เบื่อหน่ายก็เป็นกิเลส ความทนอยู่ไม่ได้ก็เป็นทุกข์เป็นกิเลส เออฉะนั้น ถึงบอกว่าเขาอยู่ในภูมิสับสน

นี่พูดถึงว่า เป็นฆราวาสมีประสบการณ์ทางโลก บวชเข้ามาตอนกลางคน แล้วได้ปฏิบัติธรรม รู้ธรรม เห็นธรรมเร็ว” เห็นธรรมเร็ว ธรรมเร็วยิ่งเร็วมันก็ยิ่งมีความสุข ถ้ายิ่งมีความสุขนะ ยิ่งสังคมพระสงฆ์ที่มันเลวทราม แล้วเราเป็นพระที่ดีอย่างนี้ โอ๋ยมันยิ่งเห็นความแตกต่าง มันยิ่งภูมิใจนะ ไอ้นี่พอเวลาเห็นความแตกต่างว่าเขาเลวทราม ไอ้เราคนดีสึกเลย เออแปลก แล้วบ้านอยู่ใกล้กันเนาะ บ้านนั้นมันทะเลาะเบาะแว้ง บ้านเราดี๊ดีเนาะ เราทิ้งบ้านเราไปเลย ยกให้เขาไปเลย เออก็แปลกอยู่

เราจะบอกว่า สถานะของความเป็น ถ้าเขาบอกว่าสถานะเขาว่า เขาสำเร็จเป็นพระอรหันต์ เราไม่เชื่อหรอก เราไม่เชื่อ เพราะว่าสำเร็จแต่ปากไง ไร้สาระ มันเป็นไปไม่ได้หรอก เราจะบอกว่า เขาบอก เขาสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ครองเพศสมณะอยู่ ๗ พรรษา เห็นความเหลวแหลก เลยสึกออกไปใช้ชีวิตฆราวาส ชีวิตเรียบง่าย เพราะว่าช่วยสังคมได้” เราว่าไม่ใช่หรอก บวชนานเข้าๆ คงคิดถึงบ้าน คงคิดถึง บวชไปแล้วสึกออกไปเพราะบ้านมีฐานะ

เราจะคิดว่าพระกัสสปะ พระกัสสปะท่านเป็นเศรษฐีนะท่านแจกหมดเลย แล้วค่อยมาบวช ทั้งตัวท่านและภรรยา แล้วท่านได้เป็นพระอรหันต์ไปทั้งหมดเลย นั่น เห็นไหม เขามีของเขา เขาเสียสละของเขา ไอ้นี่มีแล้วยังไม่ได้เสียสละ มาบวชก่อน พอสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วคิดถึงทรัพย์สมบัติที่บ้าน เลยจะไปแจกทรัพย์สมบัติที่บ้าน ไปควบคุมดูแลรักษา ไอ้ทรัพย์สมบัติมันมีคุณค่ามากกว่าคุณธรรมหรือ มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้หรอก

ในสมัยปัจจุบันนี้ ดูสิ เห็นไหม ที่เวลาเขาขึ้นคัทเอาท์กัน จะเข้าฌานสมาบัติ จะเข้านิโรธเราบอกว่า เฮ้ยนิโรธมันต่ำกว่าเงินหรือวะ นิโรธมันต่ำกว่าชื่อเสียงหรือวะ นิโรธสมาบัติ ครูบา-อาจารย์ของเราท่านอยู่ในป่าในเขาท่านก็ทำของท่าน ท่านก็ปฏิบัติของท่านนะ ท่านไม่เห็นเอามาโฆษณาชวนเชื่ออะไรเลย” หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นทำไม่ได้หรือ ครูบาอาจารย์ของเราท่านทำไม่ได้หรือ ท่านทำของท่านได้ทั้งนั้น แล้วทำแล้วมันเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ล่ะ มันเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญาหรือ

คำว่า ฌานสมาบัติๆ” เจ้าชายสิทธัตถะได้การยกย่องสรรเสริญจากอาฬารดาบส อุทกดาบส ท่านยังปฏิเสธเลย ไอ้นี่สิ่งที่พระพุทธเจ้าทิ้งแล้วเอามาอวดเขาว่าจะเข้าฌานสมาบัติ แล้วขึ้นคัทเอาท์ให้คนไปร่วมบุญ ถ้าใครทำบุญจะได้บุญมาก บุญอะไรบุญนอกศาสนาหรือ!

ถ้าบุญในศาสนาก็ศีล สมาธิ ปัญญาสิ ถ้าศีล สมาธิ ปัญญาเป็นอย่างไร นิโรธสมาบัติส่วนนิโรธสมาบัติ มรรคเป็นอย่างไร มรรคผลเป็นอย่างไร ไม่พูดถึงเลย พูดอะไรๆ ก็พูดล่อแต่จะเอาศรัทธาเขา ล่อแต่จะเอาปัจจัยของคนอื่น ไม่ได้คิดเลยว่าตัวเองมีคุณธรรมมากน้อยแค่ไหน นี่ก็เหมือนกัน สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วคิดถึงบ้าน คิดถึงฐานะ คิดถึงทรัพย์สมบัติ ไปบริหารทรัพย์สมบัติ มันชัดๆ มันเป็นไปไม่ได้

หลวงตาท่านไม่เคยคิดถึงบ้านเลย ท่านหาเงินเพื่อมาโครงการช่วยชาติฯ เป็นหมื่นๆ ล้าน ไอ้พระอรหันต์องค์นี้มันมีเงินถึงหมื่นล้านไหม หลวงตาหมื่นล้านเข้าไปอยู่ในเงินคงคลังของชาตินู่นน่ะ หมื่นล้านยังโยนทิ้งเลย ท่านทิ้งหมดเลยนี่จะไปเอาอะไร

นี่พูดถึงมันสับสน พูดถึงว่า เพราะอะไร เพราะว่าครั้งที่แล้วพูดถึงว่าเขาสำเร็จแล้วสึกไป มันไร้สาระ เราไม่อยากจะพูดมาก ไม่อยากจะพูดไง ทีนี้พอพูดไปแล้ว ที่พูด พูดแบ่งให้เห็นชัดเจนไงว่า ถ้าเป็นคุณธรรม ธรรมะที่มันมีค่า ธรรมะที่มีคุณค่ามันมีคุณค่าขนาดไหน มันมีคุณค่ากับ ๓ โลกธาตุ โลกใบหนึ่งมีค่าเท่าไร โลกใบนี้ ดูสิ แร่ธาตุน้ำมันในโลกนี้มีค่าเท่าไร เวลาพระอรหันต์มันทิ้งหมดเลย ๓ โลกธาตุ ธรรมะมันมีคุณค่ามากกว่านั้น มันจะมาห่วงอะไรกับเศษเงินเศษทอง ไร้สาระ ไร้สาระมาก นี่พูดถึงว่าถ้าจะวัดกันด้วยธรรมนะ

ฉะนั้น คำถามจากข้อที่ แต่ถ้าสำเร็จเป็นพระปัจเจกฯล่ะ โอ้โฮยิ่งไปไกลเลย ไร้สาระใหญ่เลย เราจะบอกว่าคนถามนี่นะ ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวถกเถียงกันอยู่ในกลุ่มของตนก็เรื่องของเขานะ เวลาออกมาพูด ออกไปสากล ออกไปเป็นสังคม แล้วสังคมที่เขามีการศึกษาเขามองเข้ามามันแปลกๆ นะ

นี่ก็เหมือนกัน เราบอกว่าเรานักปฏิบัติ เราเป็นชาวพุทธด้วยกัน คนนั้นก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ คนนี้ก็สำเร็จเป็นพระ-อรหันต์แล้วก็สึกไป มันหยำเปกันไปเรื่อย หลักธรรมมันไม่เป็นอย่างนั้นน่ะ หลักธรรมในหัวใจนะ มันมีจุดยืนของมันนะ โอ้โฮมันสุดยอด มีสัตย์ คำไหนคำนั้นถ้าเป็นความจริง ถ้ามันไม่เป็นความจริง พยายามจะบังเงา พยายามจะพูดว่าข้ามีคุณธรรม พยายามจะพูดว่าข้าทำอะไรดีไปหมด ข้าทำอะไรประสบความสำเร็จ อยู่ทางโลกก็เป็นเศรษฐี อายุ ๔๐ ถึงมาบวช บวชเสร็จแล้วมาปฏิบัติ ๗ เดือนก็เป็นพระอรหันต์ พอ ๗ ปีแล้วก็สึกไป

ไอ้นี่มันสับสน มันเหลวแหลก มันจะเอาหลักเกณฑ์อะไรมา เพียงแต่ว่าเป็นชาวพุทธๆ เชื่ออะไรก็พยายามจะว่าฉันก็มีคุณสมบัติอย่างนั้น ฉันทำอย่างนั้นได้ แต่มันจริงหรือเปล่าล่ะ แล้วยิ่งมาข้อที่ว่าถ้าอย่างนั้นเขาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ยิ่งตายเลย พระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้าประเภทหนึ่งนะ คนที่สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าได้ เขาต้องสร้างบุญญาธิการมามากกว่าพระอรหันต์อีก ถ้าจะสำเร็จเป็นพระปัจเจกฯ มันจะมีคุณสมบัติมากกว่านี้เยอะเลย

นี่ขนาดเป็นพระอรหันต์เรายังเห็นว่าเป็นภูมิสับสน เป็นความเหลวแหลกขนาดนี้ แล้วบอกว่าจะเป็นพระปัจเจกฯ โอ๋ยตาย ตายเลย มันคนละชั้น มันคนละชั้นเลย เป็นพระอรหันต์ยังเป็นไม่ได้ จะเป็นพระปัจเจกฯ ได้อย่างไร

พระปัจเจกฯ มันสูงกว่าพระอรหันต์ พระปัจเจกฯ คือเป็นพระอรหันต์ที่ตรัสรู้เองโดยชอบ แล้วในสมัยปัจจุบันนี้มันอยู่กึ่งกลางพระพุทธศาสนามันจะตรัสรู้ได้อย่างไรล่ะ พระปัจเจก-พุทธเจ้าจะตรัสรู้ต่อเมื่อไม่มีศาสนา ไม่มีคำสอน แล้วมันมีคำสอนอยู่ พระไตรปิฎกมีอยู่ทุกวัดเลย ทั่วโลกมีบาลี สมาคมบาลีไวยากรณ์อยู่นี่ มันจะมีพระปัจเจกฯ อะไรขึ้นมาอีกล่ะ

ก็มันมีคำสอนพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว ถ้ามีคำสอนพระพุทธ-เจ้าอยู่แล้วมันก็ศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า มันก็รู้เป็นสาวกไง ถ้าใครตรัสรู้ใครมีความรู้ขึ้นมามันรู้จากการศึกษา รู้จากข้อมูล มันเป็นสาวกสาวกะทั้งหมด เพราะได้ยินได้ฟัง สาวกคือผู้ที่ศึกษาข้อมูลจากอาจารย์ แล้วในปัจจุบันนี้ ในโลกนี้มันมีธรรมะอยู่ไหม มันมีสมาคมบาลีไวยากรณ์อยู่ไหม มี นั่นน่ะคือศาสดา ธรรมและวินัย แล้วถ้าเขาจะมีปัญญามีความรู้ มันก็มีธรรมวินัยอยู่แล้ว มันมีข้อมูลอยู่แล้ว มันจะเป็นพระปัจเจกฯ ไปได้อย่างไร

มันมี เมื่อก่อนมีพระมาพูดอยู่ว่า เขาสอนไม่ได้ เขาเป็นพระปัจเจกฯ” โอ้โฮเราจะอ้วกแตกเลยนะ โอ้โฮพระปัจเจกฯอะไรของมึง คือโง่ โง่สอนไม่ได้ไง โง่ว่าสอนคนไม่ได้ โง่ว่าพูดธรรมะไม่ได้ก็เลยอ้างว่ากูเป็นพระปัจเจกฯ เพราะกูพูดไม่ได้ไง อย่างนั้นคนบ้ามันก็เป็นพระปัจเจกฯ หมดเลยเพราะมันพูดไม่ได้ ไอ้คนใบ้ก็เป็นพระปัจเจกฯ เลย มันพูดไม่ได้ เวลาคนมันแถ มันพยายามจะพูดยกย่องตัวมันให้สังคมเชื่อ มันพูดออกมาแล้ว มันพูดออกมาด้วยความหลงผิด แล้วคนที่มีปัญญาฟังแล้วแหมมันเศร้า เศร้ามาก เศร้า พูดออกมาได้อย่างไรว่ากูพระปัจเจก-พุทธเจ้า เพราะอะไร เพราะกูไม่สอนไง

มึงไม่สอนก็มึงไม่รู้ มึงถึงไม่สอน พระปัจเจกพุทธเจ้าไม่สอนหรือ พระปัจเจกพุทธเจ้าสอน สอนคนรอบข้าง สอนคนใกล้ชิด เหมือนเรา เรากินอาหารเข้าไปคำหนึ่งอร่อย เราจะบอกคนได้ไหมว่าอร่อยเป็นอย่างไร เราบอกได้ แต่บอกได้มากได้น้อยนั่นอีกเรื่อง เพราะเราได้กินใช่ไหม ถ้าเป็นพระปัจเจกฯ มันมีคุณธรรม มึงไม่สามารถจะบอกได้หรือ แต่มันบอกเป็นทางวิชาการไม่ได้ แต่มันบอกถึงประสบการณ์ได้ คนเราเป็นพระ-ปัจเจกพุทธเจ้าบอกถึงว่า การเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าของเราไม่ได้ มันก็คงไม่ได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าหรอก

แต่ถ้ามันเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้ามันต้องบอกถึงประสบการณ์ความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าได้ แต่เราไม่มีความสามารถเขียนเป็นทางวิชาการได้ แต่ถ้าเป็นพระพุทธเจ้า อริยสัจ ๔ มรรคมีองค์ ๘ พระพุทธเจ้าทำอย่างนี้ พระพุทธเจ้าบอกถึงบัญญัติได้ พระพุทธเจ้าถึงบัญญัติแล้วเราท่องจำกันมา พอท่องจำกันมาแล้วเราก็มาจดจารึกกันเป็นพระไตรปิฎก นี่พระพุทธเจ้า

แต่พระปัจเจกพุทธเจ้า คุณสมบัติที่ทำให้เป็นทางวิชาการอย่างนี้ ท่านทำไม่ถนัด ท่านทำไม่ได้ แต่ท่านบอกท่านสอนไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ สอนได้ สอนได้แต่ท่านยังมีชีวิตอยู่ไง สอนได้เหมือนที่เราพูดได้ เราสื่อได้ แต่ไม่สามารถจารึกได้ ไม่สามารถเป็นทางวิชาการได้ พระปัจเจกพุทธเจ้ากับพระพุทธเจ้าแตกต่างกันตรงนี้

แล้วดูสิ เราพูดบ่อยมากว่า พระพุทธเจ้าของเรา พระสมณ-โคดมของเรา เวลาท่านพูดในพระไตรปิฎกนะ อ่านแล้วเศร้ามาก เราเป็นคนมีวาสนาน้อย อายุเราแค่ ๘๐ ปี เราวางธรรมวินัยไว้อีก ๕,๐๐๐ ปี พระพุทธเจ้าทีปังกร ๖๐,๐๐๐ ปี ๘๐,๐๐๐ ปี เพราะอะไร เพราะว่าพระพุทธเจ้าของเรา ๔ อสงไขย พระพุทธ-เจ้าองค์นั้น พระพุทธเจ้าทีปังกรท่านสร้างบารมีมา ๑๖ อสงไขย มากกว่าสมณโคดมกี่เท่าตัว ๔ เท่าตัว

ถ้ามีบารมีท่านต้องสร้างสมบุญญาธิการมา ๑๖ อสงไขย แล้วมันมี ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย สมณโคดมของเราสร้างวาสนามา ๔ อสงไขย ท่านถึงได้พูดไง เพราะเวลาท่านเปรียบเทียบกับองค์ที่มีกำลังมาก องค์ที่สร้างมาก ท่านบอกว่าเราวาสนาน้อย อ่านพระไตรปิฎกไปแล้วเวลาท่านพูดอย่างนี้มันสะเทือนใจเหมือนกัน ขนาดท่านบารมีขนาดนี้ ท่านเป็นศาสดาของพวกเรา ท่านยังถ่อมตนว่าท่านอำนาจวาสนาน้อย อายุเราแค่ ๘๐ ปี เพราะท่านสร้างมา ๔ อสงไขย แล้วพระปัจเจกฯ ล่ะ พระปัจเจกฯ ก็ต้องสร้างมา สร้างมามากไง

ฉะนั้น บอกว่า สิ่งที่ว่าภพสับสน เขาสับสนของเขากันเอง เวลาเราตอบแล้วเราก็คิดถึงคนถามด้วยว่าคนถามไปจำขี้ปากเขามาแล้วเอามาถามทำไม ขี้ปากทั้งนั้น เอ็งรู้อะไร เอ็งเขียนมา เอ็งพูดตรงที่เขาพูดหรือเปล่าวะ ที่เขาพูดให้เอ็งฟังตรงหรือเปล่า แล้วก็เขียนมาไอ้นี่มันครั้งที่ ๒ ครั้งที่แล้วเขาเขียนมาว่า การภาวนาถึงเป็นพระอริยสงฆ์แล้วสึกออกมาทำอะไรอีก” เราก็บอกมันไม่มีข้อมูล พูดไปก็ไร้สาระ

วันนี้ก็บอกเลย ยิ่งเขียนมา โอ้โฮยิ่งจบเลย เป็นพระ-อรหันต์แล้วเห็นความเหลวแหลกของสงฆ์ก็เลยสึกออกไป” ความเหลวแหลกของเขามันก็เป็นเรื่องของเขา กรรมของเขา ยิ่งเห็นนะ ประสาเรานะ มันยิ่งเห็นมันยิ่งส่งเสริมไง ส่งเสริมสิ่งคุณธรรมให้สูงเด่นขึ้น ถ้าเราเห็นความเหลวแหลกนั้น เราก็ทำแต่คุณงามความดีของเรา มันจะส่งเสริมขึ้นมา แล้วสิ่งที่อยู่ในวงการสงฆ์ ถ้าสงฆ์องค์ไหนทำดีๆ ขึ้นมา ไอ้องค์ที่ทำไม่ดีมันอาย สิ่งที่ทำไม่ดีมันอายนะ แต่พอไอ้พวกที่ทำดีหนีหมด สึกหมด ไอ้ที่ทำไม่ดีมันก็ยึดไปหมดเลย

ครูบาอาจารย์เราท่านไม่ได้คิดอย่างนั้นนะ ดูสิ เวลาหลวงปู่มั่น เราจะพูดถึงหลวงปู่มั่นประจำ เพราะหลวงปู่มั่นท่านรักศาสนามาก ท่านพูดกับหลวงตา เห็นไหม ผู้ที่มีพรรษามากไม่ต้องขึ้นมานะ ให้ผู้ที่มีพรรษาน้อยขึ้นมา มันจะได้ฝึกข้อวัตรติดหัวใจมันไป ข้อวัตรถ้าทำแล้วพอไม่ทำมันอายนะ

ดูสิ เวลาหลวงปู่เจี๊ยะท่านไปจำพรรษากับหลวงตาที่ท่านไปซ่อมกุฏิ โอ้โฮหลวงตาท่านไปเห็นเข้า เพราะมันหมดเวลาทำนวัตกรรมหมดเวลาทำข้อวัตรไง แล้วหลวงปู่เจี๊ยะท่านยังไปตอกซ่อมกุฏิอยู่ เจี๊ยะเอ้ยเราก็อยู่กับหลวงปู่มั่นมาด้วยกัน ทำไมท่านทำอย่างนี้ล่ะ คำว่า อยู่กับหลวงปู่มั่นมาด้วยกัน” ที่หลวงปู่มั่นท่านบอกว่าให้พระเด็กๆ มันขึ้นมา มันจะได้มีข้อวัตรติดหัวใจมันไปๆ หลวงปู่เจี๊ยะก็อยู่กับหลวงปู่มั่น หลวงตาก็อยู่กับหลวงปู่มั่น แล้วเวลาทำผิด เจี๊ยะเอ้ยเราก็อยู่กับหลวงปู่มั่นมาด้วยกัน” โอ้โฮแค่นี้หลวงปู่เจี๊ยะท่านน้ำตาไหลเลย คนที่มีธรรมกับคนที่มีธรรมเวลาพูดถึงเรื่องคุณธรรมนะ นี่ไง ถ้ามันเป็นจริงๆ มันควรอยู่เพื่อหลักชัย ถ้ามันเป็นจริงนะ

ไอ้นี่มันไม่จริงๆ พอไม่จริงมันก็ทุกข์ไง พอไม่จริงมันก็กลัดหนอง พอกลัดหนองกูไปดูเงินกูดีกว่า พอกูไปดูเงินกูแล้วยังบอกว่าเขายังสมถะใช้ชีวิตเรียบง่าย เอาเงินทองมาช่วยทำประโยชน์กับโลกก็ทานไง ก็ระบบของทานไง แต่ธรรมทานล่ะ ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมมาจนป่านนี้ยังกังวานอยู่ ถ้ามันเป็นจริงๆ มันเป็นจริงอย่างนั้น ไอ้นี่มันภพสับสน ยิ่งเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้ายิ่งเป็นไปไม่ได้เลย แล้วตอนนี้นี่พูดถึงพูดตามข้อมูลนะ แล้วตามข้อมูล ภพสับสน เป็นความสับสน ลังเลสงสัย ไม่เป็นจริงสักอย่างหนึ่ง เอวัง